วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่2
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561
เวลา 11.30-14.30 น
ความรู้ที่ได้รับ

นำเสนองานกลุ่ม ทั้งหมดจำนวน 4 กลุ่ม
  1. กลุ่มที่ 1 เรื่อง หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ ๓-๖ ปี
  2. กลุ่มที่ 2 เรื่อง ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
  3. กลุ่มที่ 3 เรื่อง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
  4. กลุ่มที่4 เรื่อง รูปแบบการเรียนรู้นวัฒกรรมการสอนแบบโครงการ (Project approach)

กลุ่มที่ 1 หลักสูตรการศึกษษปฐมวัย สำหรับเด็กอายยุ ๓-๖ ปี






    หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยของไทย เกิดขึ้นมาปีพุทธศักราช 2546 ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2540 ตลอด 16 ปีที่ผ่านมาการศึกษาปฐมวัยได้พัฒนา ก้าวหน้าและมีความเป็นระบบมากขึ้นมา โดยได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนในการสนับสนุุนและส่งเสริม ส่งผลให้ระบบการจัดการศึกษาปฐมวัยของไทย มาความเจริญก้าวหน้าสอดคล้องกับการพัฒนาเด็กตามพัฒนาการและความพร้อม

   ทันทีที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ได้ประกาศใช้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยก็จำเป็นต้องปรับปรุงให้เหมาะสมกับกฎหมายรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่ง หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 โดยเฉพาะ ในมาตรา 54 วรรคสอง อันมีความว่า
“ดำเนินการให้เด็กเล็กได้รับการดูแล และพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษาเพื่อพัฒนาร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาให้สมกับวัย” และ “เด็กเล็กได้รับการดูแลและพัฒนาก่อนเข้ารับการศึกษา โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย”
   นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2560-2579) ในยุทธศาสตร์ข้อ 4 ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม และในส่วนข้อ (2) เการพัฒนาศักยภาพคนในทุกช่วงวัย ให้สนับสนุนการเจริญเติบโตของประเทศ โดยช่วงวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดให้มีพัฒนาการที่สมวัยในทุกด้าน
   นอกจากนี้ หลักสูตรนี้ ยังได้น้อมนำแนวพระราชดำริและพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อันมีใจความสำคัญว่า
“มุ่งปลูกฝังความดีให้นักเรียนอบรมบ่มนิสัยให้เป็นพลเมืองดีเป็นเด็กที่มีน้ำใจรู้จักทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีความสามัคคีรู้จักดูแลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่กัน”
และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีใจความสำคัญว่า
“การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานชีวิตหรืออุปนิสัยที่มั่นคงเข้มแข็ง อาทิ การสร้างบุคลิกและอุปนิสัยที่ดีงาม(Character Education)” มาขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาให้เกิดเป็นรูปธรรม
ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ที่มีต่อวงการการศึกษาปฐมวัยเป็นอย่างยิ่ง
   เมื่อไม่นานมานี้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการคนปัจจุบัน ได้ลงนามในคำสั่ง ศธ.เรื่องการใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2560 แทนหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2546 โดยจะนำไปใช้ในปีการศึกษา 2561 เป็นต้นไป ซึ่งภาพรวมการพัฒนาและโครงสร้างหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ.2560 นั้น แบ่งออกเป็น2 ช่วงอายุ คือหลักสูตรสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า3ปี จัดขึ้นสำหรับพ่อแม่ผู้เลี้ยงดู หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กประกอบด้วย 2ช่วงอายุ คือ ช่วงอายุแรกเกิด-2ปี เป็นแนวปฎิบัติการอบรมเลี้ยงดูตามวิถีชีวิตประจำวัน และช่วงอายุ 2-3ปี เป็นแนวปฏิบัติการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ให้เด็กมีร่างกายเจริญเติบโตตามวัยแข็งแรงและมีสุขภาพดี สุขภาพจิตดี มีความสุข มีทักษะการใช้ภาษาสื่อสาร สนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ
และหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3-6ปี เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษา เด็กจะได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ตามวัยและความสามารถของเด็กแต่ละคน
ข้อแตกต่างหลักสูตรเก่า 2546และ หลักสูตรใหม่ 2560
   เพิ่มเติม วิสัยทัศน์ ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย
เพิ่มเติมตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์รายอายุ”เพื่อให้มีเนื้อหาที่ชัดเจน สถานศึกษาสามารถนำไปออกแบบ และจัดหลักสูตรสถานศึกษาของตนเอง ครูสามารถนำไปวางแผนการพัฒนาผู้เรียนรายอายุได้ง่ายขึ้น
   จากเดิม การประสานงานพัฒนาเด็กปฐมวัย ในส่วนของการพัฒนาทักษะกระบวนการ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ระหว่างหน่วยงาน สพฐ. กับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) นั้น ต่างคนต่างทำ แต่ในหลักสูตรใหม่จะทำงานร่วมกัน โดยคณะทำงานของ สสวท.เป็นผู้พัฒนาเนื้อหาที่ง่ายสำหรับเด็ก และชัดเจนสำหรับครูนำสู่การปฏิบัติ
  จุดเด่นเพิ่มเติมของการพัฒนา ด้านร่างกาย เพิ่มการพัฒนาการตระหนักรู้ เกี่ยวกับร่างกายตนเอง (self-awareness) คือการเคลื่อนไหวโดยควบคุมตนเองไปในทิศทางระดับและพื้นที่, ด้านอารมณ์จิตใจ เพิ่มอัตลักษณ์เฉพาะตน และเชื่อว่าตนเองมีความสามารถและการเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, ด้านสังคม เพิ่มการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่น และความเป็นไทย การมีวินัย การยอมรับในความเหมือนและแตกต่าง ระหว่างบุคคล และ ด้านสติปัญญา เพิ่มการพัฒนาความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผล การคิดแก้ปัญหา และตัดสินใจการใช้ภาษาในการเรียนรู้

ความรู้เพิ่มเติม
  • พัฒนาการคือสิ่งที่บ่งบอกความสามารถของเด็ก
  • ก่อนการคิดแบบนามธรรม เรียกว่า ขั้นอนุรักษ์
  • รู้พัฒนาการของเด็ก เพื่อจัดประสบการณ์ได้อย่างเหมาะสม
  • หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 มีความชัดเจนมากกว่า 2546
  • มาตรฐาน = เกณฑ์ขั้นต่ำ

กลุ่มที่ 2 เรื่อง ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย



ความสนใจในการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย
(Reading and Writing Interest of Young Children)

     หมายถึง กิริยาท่าทางหรือการกระทำที่แสดงออกถึงความสนใจ ความต้องการ กระตือรือร้นที่จะอ่านและเขียนด้วยความเต็มใจ โดยไม่ได้ถูกบังคับหรือทำตามคำสั่ง พฤติกรรมที่แสดงออกถึงความสนใจในการอ่านเขียน เช่น การหยิบหนังสือต่างๆมาเปิดดูรูปภาพ ข้อความและทำท่าอ่าน หยิบจับอุปกรณ์ดินสอ ปากกา สี กระดาษ มาขีดเขียนหรือวาดภาพ ขอให้ครูหรือเพื่อนช่วยเล่าเรื่องหรือเล่านิทานให้ฟัง หรือขอให้เพื่อนช่วยวาดภาพให้ดู พูดเล่าเรื่องตามหนังสือ ป้ายสัญลักษณ์ ข้อความตามลำพัง เป็นต้น

ความสำคัญของความสนใจในการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัย

    เด็กวัย 25 ปีถือเป็นวัยทองของภาษา พัฒนาการของพวกเขาจะเจริญงอกงามอย่างมาก ซึ่งถ้าเด็กวัยนี้ได้รับการส่ง เสริมอย่างถูกต้องและเพียงพอ จะทำให้การเรียนรู้ของเด็กพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว แต่มีเด็กจำนวนมากไม่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านนี้จากบ้านและโรงเรียนเท่าที่ควร ทำให้เด็กขาดประสบการณ์ทางภาษา เด็กวัยนี้มักจะถูกมองว่ายังไม่มีความสามารถในการอ่านและการเขียน ทั้งที่ในความเป็นจริงการเรียนรู้ของเด็กเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อย และเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องพัฒนามาพร้อมกับการเรียนรู้ภาษาพูด ไม่จำเป็นต้องพูดได้คล่องก่อน ถึงจะมาเรียนการอ่านและการเขียน

การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเด็กปฐมวัย
  • กิจกรรมการเล่นเสรี
  • การสอนเป็นหน่วยบูรณาการ


ความต้องการของเด็กปฐมวัย

  1. ความต้องการทางร่างกาย
  2. ความต้องการทางอารมณ์
  3. ความต้องการทางสังคม
  4. ความต้องการทางสติปัญญา

กลุ่มที่ 3 เรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย




      ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์

เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือกระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีกขั้นหนึ่ง




ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ (Lall and Lall, 1983:45-54)
     พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้
          1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage)
          2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ (Pre – Operational Stage)
          3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage)
          4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational


ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์

    บรุนเนอร์ (Bruner) เป็นนักจิตวิทยาที่สนใจและศึกษาเรื่องของพัฒนาการทางสติปัญญาต่อเนื่องจากเพียเจต์ บรุนเนอร์เชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากกระบวนการค้นพบด้วยตัวเอง (discovery learning) แนวคิดที่สำคัญ ๆ ของบรุนเนอร์ มีดังนี้ (Brunner,1963:1-54) 
   
 ทฤษฎีการเรียนรู้ 
1) การจัดโครงสร้างของความรู้ให้มีความสัมพันธ์ และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก มีผลต่อการเรียนรู้ของเด็ก
2) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับระดับความพร้อมของผู้เรียน และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนรู้เกิดประสิทธิภาพ
3) การคิดแบบหยั่งรู้ (intuition) เป็นการคิดหาเหตุผลอย่างอิสระที่สามารถช่วยพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้
4) แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้
5) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของมนุษย์แบ่งได้เป็น 3 ขั้นใหญ่ ๆ คือ
  1. ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
  2. ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
  3. ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
6) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากการที่คนเราสามารถสร้างความคิดรวบยอด หรือสามารถจัดประเภทของสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม
7) การเรียนรู้ที่ได้ผลดีที่สุด คือ การให้ผู้เรียนค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง (discovery learning)






ไวกอสกี้ (Vygotsky)


    ทฤษฎีการเรียนรู้ของวีก๊อทสกี้
        วีก็อตสกี้เป็นนักจิตวิทยาชาวรัชเซีย ทฤษฎีเชาว์ปัญญาของวีก็อทสกี้เน้นความ สำคัญของวัฒนธรรม สังคม และการเรียนรู้ที่มีต่อพัฒนาการเชาว์ปัญญา 
        วีก็อตสกี้ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมและสังคมมาก เขาอธิบายว่ามนุษย์ได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิดซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติแล้ว ก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคม  ซึ่งก็คือวัฒนธรรมที่แต่ละสังคมสร้างขึ้น ดังนั้น สถาบันสังคมต่างๆ เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัว  จะมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาของแต่ละบุคคล นอกจากนั้น ภาษายังเป็นเครื่องมือสำคัญของการคิดและพัฒนาปัญญาขั้นสูง พัฒนาการทางภาษาและทางความคิดของเด็กเริ่มด้วยการพัฒนาที่แยกจากกัน แต่เมื่ออายุมากขึ้นพัฒนาทั้งสองด้านจะไปร่วมกัน

        วีก็อตสกี้แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ
        1.  เชาว์ปัญญาขั้นเบื้องต้น คือเชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้
        2.  เชาว์ปัญญาขั้นสูง คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ให้การอบรม เลี้ยงดู ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา วีก็อตสกี้ ได้แบ่งพัฒนาการทางภาษาเป็น 3 ขั้น  คือ
            2.1 ภาษาที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เรียกว่า ภาษาสังคม (social speech) เป็นภาษาที่เด็กใช้ ในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น  ในช่วงอายุ 0 - 3 ปี เพื่อสื่อสารความคิดความรู้สึกต่างๆที่ตนนั้นกำลังนึกคิด และต้องการที่จะแสดง ความต้องการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น
            2.2 ภาษาที่พูดกับตนเอง 3 – 7 ขวบ (egocentric  speech)  เป็นภาษาที่เด็กใช้พูดกับตนเองในช่วงอายุ  3 -7 ปี  โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น  เพื่อช่วยในการคิด  ตัดสินใจแสดงพฤติกรรม
            2.3 ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน 7 ขวบขึ้นไป (inner  speech) วีก๊อทสกี้อธิบายว่า มนุษย์ต้องใช้ภาษาในการคิด  เด็กจะต้องพัฒนาภาษาในใจ  ซึ่งเป็นการช่วยให้พัฒนาการทางสติปัญญาพัฒนาสูงขึ้นตามระดับอายุ  การพัฒนาภาษาภายในตนเองเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 7 ปี เมื่อเด็กพบปัญหาที่ยุ่งยากมากขึ้น  เขาเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาไปตามขั้นตอนโดยใช้ภาษาภายในตนเอง  ในขณะที่เด็กเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองนั้น  เขาอาจพบบางปัญหาที่เขาคิดเองไม่ออก แต่หากได้รับคำแนะนำช่วยเหลือบางส่วนจากผู้ใหญ่  หรือได้รับความร่วมมือจากกลุ่มเพื่อนเขาจะสามารถแก้ปัญหานั้นได้สำเร็จวีก๊อตสกี้เรียกระดับความสามารถนี้ว่าจุดที่เด็กสามารถแก้ปัญหาได้สำเร็จหากได้รับความช่วยเหลือสนับสนุน
          นอกจากภาษาแล้วยังมีสัญลักษณ์ที่ช่วยในกระบวนการพัฒนาสติปัญญาด้วย  เครื่องหมายนี้แบ่งได้เป็น  3  ชนิดคือ
1.  เครื่องหมายดัชนี ( indexical  sign) เป็นเครื่องหมายที่ใช้อธิบายสิ่งที่มีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน  เช่น  ฝนตกหนักทำให้น้ำท่วม
2.  เครื่องหมายภาพตัวแทน(iconic  sign) เป็นเครื่องหมายที่เป็นสื่อสัญลักษณ์ต่างๆ  เช่น  สีขาวของธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์ของศาสนา
3เครื่องหมายสัญลักษณ์ (symbolic sign) เป็นเครื่องหมายสัญลักษณ์แทนสิ่งที่เป็นนามธรรมในการคิด  เช่น  ภาษา ระดับสติปัญญาที่ต่างกันของเด็ก  จะทำให้เด็กเลือกใช้เครื่องหมายต่างกัน

กลุ่มที่ 4 เรื่องรูปแบบการเรียนรู้นวัฒกรรมการสอนแบบโครงการ Project Approach 



ทฤษฎีการสอนแบบโครงการ

   การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดยให้เด็กได้ร่วมกันเลือกทำโครงการที่ตนสนใจโดยร่วมกันสำรวจ สังเกต และกำหนดเรื่องที่ตนสนใจ วางแผนในการทำโครงการร่วมกัน ศึกษาสืบค้น หาข้อมูล ความรู้ที่จำเป็น และนำเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนำผลงาน และประสบการณ์ทั้งหมดมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นและสรุปผลการเรียนรู้ที่ได้รับจากประสบการณ์ทั้งหมด
การสอนแบบโครงการจะมีกิจกรรม 5 วิธี
ในแต่ละระยะของการทำโครงการ ซึ่งกิจกรรมทั้ง 5 วิธี ประกอบด้วย

  1. วิธีการอภิปราย ครูสามารถแนะนำการเรียนรู้ให้เด็ก และให้เด็กได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกันกับเพื่อนเป็นกลุ่มย่อย และกลุ่มใหญ่
  2. วิธีการศึกษานอกสถานที่ เป็นกระบวนการที่สำคัญในการทำโครงการ  ในระยะแรก ครูอาจพาไปศึกษานอกห้องเรียน เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบบริเวณโรงเรียน จะช่วยให้เด็กมีโอกาสพบปะกับบุคคลที่มีความรู้  ในหัวข้อเรื่องที่เด็กสนใจ โดยถือเป็นประสบการณ์เรียนรู้ขั้นแรกของการศึกษาค้นคว้า
  3. วิธีการนำเสอนประสบการณ์เดิม เด็กได้ทบทวนประสบการณ์เดิมในหัวเรื่องที่สนใจ มีการแสดงความคิดเห็น อภิปรายประสบการณ์ที่เหมือนหรือต่างกันกับเพื่อนๆ ตลอดจนแสดงคำถามที่ต้องการสืบค้นในหัวเรื่องนั้นๆ ซึ่งเด็กสามารถเสนอประสบการณ์เดิมให้เพื่อนได้รู้โดยการวาดภาพ การเขียน การใช้สัญลักษณ์ การเล่นบทบาทสมมุติ เป็นต้น
  4. วิธีสืบค้น การสอนแบบโครงการ เปิดโอกาสให้ใช้แหล่งค้นคว้าข้อมูลที่หลากหลาย ตามหัวเรื่องที่สนใจ โดยเด็กสามารถสอบถามจากพ่อแม่ ผู้ปกครอง บุคคลในครอบครัว เพื่อน วิทยากรในท้องถิ่นที่มีความรู้ในหัวเรื่อง หรือสืบค้นข้อมูลจากห้องสมุด
  5. วิธีการจัดแสดง สามารถทำในหลายรูปแบบ อาจจัดเป็นป้ายแสดงผลงานของเด็ก การแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ต่างๆ ที่ได้จากการสืบค้น
   กิจกรรมทั้ง 5 วิธีที่กล่าวมาข้างต้น จะปรากฎอยู่ในโครงการในระยะต่างๆ การสอนแบบโครงการ แบ่งเป็น 3 ระยะดังนี้

ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ : ทบทวนความรู้และความสนใจของเด็ก
1.1 สร้าง/สังเกตความสนใจของเด็ก
1.2 ครูและเด็กกำหนดหัวเรื่องโครงการ
ระยะที่ 2 พัฒนาโครงการ : ให้โอกาสเด็กค้นคว้าและมีประสบการณ์ใหม่
2.1 เด็กกำหนดปัญหาที่จะศึกษา
2.2 เด็กตั้งสมมติฐานเบื้องต้น
2.3 ทดสอบสมมุติฐาน
2.4 เชิญวิทยากร
2.5 ตั้งสมมติฐานใหม่
2.6 เด็กทดสอบสมมุติฐานใหม่
2.7 เด็กสรุปข้อความรู้
ระยะที่ 3 สรุปโครงการ : ประเมิน สะท้อนกลับและแลกเปลี่ยนงานโครงการ
3.1 เด็กรวบรวมสรุป
3.2 เด็กสิ้นสุดความสนใจในหัวเรื่องโครงการ
3.3 เด็กนำเสนอผลงานโครงการ
   สรุปได้ว่า การสอนแบบโครงการ คือ การที่เด็กเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม ศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากความสนใจของเด็กเอง อย่างลุ่มลึกลงไปในรายละเอียดของเรื่องนั้น โดยเป็นกิจกรรมที่เน้นกระบวนการ การลงมือปฏิบัติ การใช้กระบวนการคิด และแก้ปัญหาผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หรือกระบวนการอื่นๆ ด้วยตัวเด็กเอง จนค้นพบคำตอบและได้รับความรู้ที่ต้องการ ภายใต้การแนะนำช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนของครู
คำศัพท์
  • Sensori - ประสาทสัมผัส
  • Differences - ความแตกต่าง
  • Variation - การเปลี่ยนแปลง
  • Intuitive - สัญชาตญาณ
  • Enactive -การกระทำ
  • Inconic -ความคิด จินตนาการ

การนำความรู้ไปใช้
  จากที่ได้ฟังเพื่อนนำเสนอทำให้มีทักษะที่เพิ่มขึ้นและได้เห็นมุมมองที่แตกต่างกันไปและสามารถนำไปใช้ในการสอนและปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม

ประเมิน
ประเมินตนเอง  ตั้งใจเรียน และมาตรงเวลชา
ประเมินเพื่อน   เพื่อนมีการเตรียมความพร้อมมาดี และตั้งใจฟังเพื่อนำเสนอ
ประเมินอาจารย์ อาจารย์ค่อยเสริม และเพิ่มเติมในการนำเสนอให้เป็นแนวทางอีกต่อไป










x

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น